Language : | |
Call : 02-434-1111, 02-884-7000

โบท็อกซ์ (Botox)

เคยได้ยินคำว่า “โบท็อกซ์” กันบ้างไหมคะ?
เคยได้ยินไหมว่า มีสารที่ฉีดลบรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าได้?
โบท็อกซ์ คืออะไร ?

โบท็อกซ์

          คำว่า “โบท็อกซ์ (Botox) เป็นชื่อทางการค้า (trade name) ของสารชีวภาพชนิดหนึ่งคือ โบทูลินัม ท็อกซิน เอ (Botulinum toxin A) ซึ่งถ้าใครไปค้นคำว่า “โบทูลินัม” ดู ก็จะพบว่าเป็นชื่อของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งคือ คลอสทริเดียม โบทูลินัม (Clostridium botulinum) ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษแก่มนุษย์
          คำว่า “ท็อกซิน” นั้นแปลตรงตัวว่า “สารพิษ” แต่ว่าคำนี้เป็นคำกลางๆ นะคะ กล่าวคือ อาจจะเป็นสารพิษต่อมนุษย์หรือไม่ก็ได้ เช่น สารพิษบางอย่างเป็นพิษต่อแมลงบางชนิด แต่ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์ ในกรณีนี้ก็เรียกสารดังกล่าวว่า “ท็อกซิน” ได้เช่นเดียวกัน ส่วนคำว่า “เอ” นั้นระบุว่า ท็อกซินชนิดนี้เป็นหนึ่งในท็อกซินที่สิ่งมีชีวิตชนิดนี้ผลิตได้ (มีทั้งหมด 7 ชนิด)
          ขอสรุปง่ายๆ เสียตรงนี้ก่อนว่า “โบท็อกซ์” นั้นมีที่มาจากท็อกซิน ที่พบในแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ที่ก่อให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษในมนุษย์นั่นเอง ท็อกซินชนิดนี้พบตามธรรมชาติตั้งแต่ปี 1817 โดยนายแพทย์ชาวเยอรมันชื่อ จัสทินัส เคอร์เนอร์ (Justinus Kerner) ท็อกซินดังกล่าว จะออกฤทธิ์โดยการไปจับกับส่วนปลายของเซลล์ประสาท ทำให้เซลล์ประสาท ไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาท (neurotransmitter) ชนิดหนึ่ง คือ อะซีทิลโคลีน (acetylcholine) ได้ มีผลทำให้กล้ามเนื้อไม่อาจหดตัวได้ นั่นเอง อ่านมาถึงตรงนี้ บางคนอาจจะเริ่มสงสัยแล้วสินะคะว่า ถ้าการมีท็อกซินดังกล่าวมีอันตรายเช่นนั้นแล้ว ทำไมยังจะมีคนต้องการฉีด “โบท็อกซ์” อยู่อีก หรือไม่เช่นนั้นก็อาจจะสงสัยว่า ก็แล้ว “โบท็อกซ์” มาเกี่ยวข้องกับการลบรอยเหี่ยวย่นได้อย่างไร คำตอบเรื่องนี้ง่ายนิดเดียวนั่นก็คือ การที่กล้ามเนื้อส่วนที่แสดงสีหน้า เช่น การขมวดคิ้ว การเกิดรอยย่นรอบตา เป็นต้น ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ก็จะมีผลคือ มันจะไม่สามารถทำให้เกิด “รอยเหี่ยวย่น” ได้นั่นเองค่ะ ดังนั้นจึงนิยมนำโบท็อกซ์มาใช้สำหรับการลดรอยย่นของผิวหนัง เช่นรอยย่นเวลาขมวดคิ้ว เพราะเมื่อกล้ามเนื้อคลายตัวแล้ว เวลาขมวดคิ้วกล้ามเนื้อจึงไม่จับกันเป็นก้อนนูนออกมา และยังสามารถช่วยในการปรับแต่งรูปหน้าได้ เช่น ยกคิ้ว ยกมุมปาก ลดปีกจมูก

จากการเยียวยาโรคสู่ “ศัลยกรรมความงาม”

          ในระยะแรกของการนำ “โบท็อกซ์” มาใช้งานนั้น จุดประสงค์หลักๆ ก็คือ เพื่อใช้สำหรับรักษาอาการกระตุกของกล้ามเนื้อตา อาการตาเหล่หรือตาเข ตลอดไปจนถึงอาการปวดตึง ผิดธรรมดาของกล้ามเนื้อคอ โดยมีการอนุญาตให้ใช้ได้ในประเทศสหรัฐฯ มาตั้งแต่ปี 2532 แต่เรื่องของการฉีดโบท็อกซ์มาฮือฮากันจริงๆ ก็ตอนที่องค์การอาหารและยา สหรัฐฯ หรือที่นิยมเรียกกันย่อๆ ว่า เอฟดีเอ (FDA, Food and Drug Administration) อนุมัติให้ใช้ “โบท็อกซ์” เพื่อประโยชน์ในอุตสาหกรรมความงามในเดือนเมษายน 2545

ผลของการฉีด โบท็อกซ์

          ในกรณีที่ฉีดเพื่อการลดริ้วรอย หลังฉีดโบท็อกซ์แล้ว ริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์เช่น การขมวดคิ้ว รอยย่นจมูกที่เกิดจากการยิ้มจะลดลง ผิวเรียบเนียนขึ้น ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์ หรือกรณีที่ฉีดปรับแก้ไขรูปหน้า ก็ทำได้ในหลายกรณี เช่น การฉีดลดกล้ามเนื้อตรงส่วนกรามให้เล็กลงส่งผลให้หน้าดูเรียวขึ้น การทำให้คิ้วโก่ง ให้มุมปากที่ตกยกขึ้น ปีกจมูกเล็กลง นอกจากนี้ยังมีความสามารถควบคุมต่อมเหงื่อ เพื่อลดเหงื่อใต้วงแขน โดยการทำงานยับยั้งการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ Sympathetic ที่ควบคุมต่อมเหงื่อทำให้ผลิตเหงื่อลดลง

หลังฉีดโบท็อกซ์เป็นเวลานานเท่าใดจึงจะเห็นผล?

          เห็นผลได้ในประมาณ 3-7 วัน ซึ่งผลจากการฉีดจะอยู่ได้ราว 6-8 เดือน โดยสามารถฉีดซ้ำได้เมื่อกล้ามเนื้อกลับสู่สภาพเดิม

เหตุใดจึงควรฉีดโบท็อกซ์แทนการศัลยกรรม

          เพราะกรรมวิธีในการฉีด Botox นั้นแสนง่าย รวดเร็ว ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ฉีดเสร็จก็สามารถกลับบ้านได้เลย หรือไปเดินช็อปปิ้งต่อก็ยังได้ แถมราคาก็สบายกระเป๋า เพราะเสริมแต่ง หรือแก้ไขเฉพาะจุดที่จำเป็น โดยเฉพาะผู้เข้ารับการรักษาที่มีอายุน้อยซึ่งความแข็งแรงยืดหยุ่นของผิวพรรณยังค่อนข้างสมบูรณ์ดีอยู่ จะใช้ยาในปริมาณที่น้อยมาก การแก้ไขในบางจุดจึงมีราคาแค่พันต้นๆ เท่านั้น

ใครบ้างที่ฉีดโบท็อกซ์ได้?

          การฉีดโบท็อกซ์นั้นเหมาะกับผู้ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป เพราะรูปหน้าคงที่แล้ว หากแต่ไลฟ์สไตล์ของหนุ่มสาวยุคใหม่ ที่ต้องการปรับแต่งรูปหน้าให้สวยเนี้ยบยิ่งกว่า ต้องการปรับเล็กๆ น้อยๆ เพื่อแก้โหงวเฮ้ง หรือเสริมบุคลิกภาพเพื่อสังคม ผู้มีอายุต่ำกว่านั้นก็สามารถทำได้ ไม่ต้องรอให้วัยล่วงเลย

ใครบ้างที่ไม่ควรฉีด Botox ?

1. ผู้ป่วยโรคระบบกล้ามเนื้อ
2. ผู้ที่มีประวัติแพ้ Albumin
3. ผู้ที่มีประวัติแพ้ Botulinum Toxin
4. หญิงมีครรภ์อยู่ระหว่างให้นมบุตร

การดูแลหลังการฉีด Botox

                              1. ห้ามนอนราบ 3 ชม. หลังทำ เนื่องจากตัวยาอาจกระจายออกนอกตำแหน่งที่ฉีด ทำให้ไม่ได้ประสิทธิภาพที่ต้องการ
                              2. ห้ามนวดบริเวณที่ฉีด เพราะทำให้ยากระจายตัวไปที่กล้ามเนื้อรอบดวงตาได้
                              3. ขยับกล้ามเนื้อที่ฉีด ทุก 15 นาที ในชั่วโมงแรกหลังฉีด เพื่อให้ยาออกฤทธิ์ดีขึ้น
                              4. หากมีรอยช้ำหลังฉีด ประคบเย็นที่บ้านต่อ ไม่ให้นวด หรือประคบอุ่น และงดทานยาจำพวก แอสไพริน วิตามินอี สมุนไพรร้อน เช่น แปะก๊วย โสม 2-3 วัน เพื่อลดรอยช้ำหลังฉีด (หากมี)
                              5. ควรงดการดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 2 อาทิตย์แรกซึ่งอาจจะมีผลทำให้โบท็อกซ์ออกฤทธิ์ได้ไม่ดี หรืออาจแย่ไปกว่านั้นอีกก็คือ ทำให้เกิดริ้วรอยแผลบริเวณตำแหน่งที่ฉีดโบท็อกซ์
                              6. ช่วงเดือนแรกงดเว้นการนวดหน้าแรงๆ หรือ การทำ treatment ร้อน เช่น RF, การซาวน่า
                              7. สำหรับผู้ที่ฉีดหน้าเรียว ควรงดเว้นการเคี้ยวหมากฝรั่ง เนื่องจากจะทำให้การฉีดไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร
                              8. กลับมาพบแพทย์ครั้งต่อไปอีก 1 อาทิตย์ หรือถ้าฉีดหน้าเรียวพบแพทย์ครั้งต่อไปอีก 2 อาทิตย์หลังจากวันที่ฉีด หรือหากมีข้อสงสัย หรือ มีอาการผิดปกติอย่างใด สามารถกลับมาพบแพทย์ได้ทันที

การฉีดโบท็อกซ์ อันตรายหรือไม่ และมีผลข้างเคียงอย่างไร?

          การฉีดมีผลทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้ทำให้กล้ามเนื้อฝ่อตายแต่อย่างใด ซึ่งอาจมีผลข้างเคียงอย่างเช่น อาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ คันบริเวณที่ฉีด หรือบางรายหนังตาตก แต่พบได้น้อยมาก โดยเฉพาะหากฉีดในปริมาณน้อยๆ เพื่อการปรับรูปหน้า และอยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง

          การฉีดโบท็อกซ์ไม่ต้องรอจนรอยเหี่ยวย่นถามหา แค่ปรับรูปหน้านิดหน่อยคุณก็ดูดีขึ้นได้ เพราะยิ่งหล่อเนี้ยบ ยิ่งสวยเป๊ะเท่าไร พลังแห่งความมั่นใจก็มากขึ้นเท่านั้น ทำอะไรก็ดูดี

 

บทความโดย

พญ. กิ่งรัก  ดุลอำนวย

แพทย์ประจำศูนย์ความงามและผิวพรรณ

 

2024-04-12T14:05:13+00:00